วันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2559

iPhone จอดับต้องทำอย่างไร ? พร้อมวิธีป้องกันการเกิด Touch Disease เบื้องต้น



iPhone จอดับต้องทำอย่างไร ? พร้อมวิธีป้องกันการเกิด Touch Disease เบื้องต้น

iPhone จอดับต้องทำอย่างไร ? พร้อมวิธีป้องกันการเกิด Touch Disease เบื้องต้น

Techmoblog
สนับสนุนเนื้อหา
กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่ผู้ใช้ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ต้องระวังกันเป็นพิเศษ สำหรับปัญหาที่เรียกว่า Touch Disease ซึ่งหน้าจอจะมีแถบสีเทากระพริบปรากฎอยู่ ถ้าหากมีอาการหนักมาก จะส่งผลทำให้ตัวเครื่องใช้งานไม่ได้อีกเลย และต้องเปลี่ยน Motherboard ใหม่ทั้งหมด
 Touch Disease เกิดจากอะไร ?
สำหรับปัญหา Touch Disease นั้น เกิดจากปัจจัย 2 ส่วนด้วยกัน ซึ่งส่วนแรกก็คือ ชิป Touch IC หรือชิปประมวลผลหน้าจอ รหัส U2402 Meson และ Cumulus U2401ที่มีปัญหามาตั้งแต่กระบวนการผลิต โดย iPhone 6 และ iPhone 6 Plus นับว่าเป็นรุ่นแรกของ iPhone ที่มาพร้อมกับหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้น และเมื่อตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับเปลี่ยนชิ้นส่วนภายในด้วยเช่นกัน โดยทางผู้เชี่ยวชาญเผยว่า ตัวเครื่อง iPhone 5S นั้น มีการปกป้องตัว board ด้วยวัสดุที่เรียกว่า Metal Shield ซึ่งมีความแข็งแรงมาก แต่เมื่อมาถึง iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus ได้เปลี่ยนมาใช้วัสดุที่เรียกว่า Sticker Shield แทน
ซึ่งความแข็งแกร่งของ Sticker Shield นั้น แน่นอนว่า สู้ Metal Shield ไม่ได้อยู่แล้ว ประกอบกับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus มาพร้อมกับบอดี้ที่บางลงกว่าเดิม ทำให้เกิดปัญหาที่เรียกว่า bendgate หรือตัวเครื่องงอขึ้นมา ซึ่งตัวเครื่องงอนี่เอง ทำให้อุปกรณ์ภายในเสียหาย รวมไปถึงชิป Touch IC ชิ้นนี้ และเมื่อชิป Touch IC เสีย ทำให้หน้าจอไม่ตอบสนองต่อการสัมผัส จนเกิดปัญหา Touch Disease ขึ้นมานั่นเอง
วิธีการป้องกันเบื้องต้นไม่ให้เกิดปัญหา Touch Disease
แม้จะฟังดูเป็นข่าวร้ายของผู้ใช้ แต่ก็ยังมีข่าวดีอยู่บ้าง เมื่อปัญหา Touch Disease ใช่ว่าจะเกิดกับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ทุกเครื่อง ถ้าหากมีการใช้งานอย่างถูกวิธี โดยผู้เชี่ยวชาญเผยว่า วิธีการใช้งานที่จะช่วยหลีกเลี่ยงปัญหา Touch Disease กับ iPhone 6 และ iPhone 6 Plus ก็คือ
  • ใส่เคส เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับบอดี้
  • อย่าเก็บ iPhone ไว้ที่กระเป๋ากางเกงข้างหลัง
  • อย่านั่งทับ iPhone

ถ้าหาก iPhone เกิดจอดับ ควรทำอย่างไร ?
สำหรับท่านที่คิดว่า iPhone 6 กับ iPhone 6 Plus ที่ใช้อยู่ น่าจะเริ่มมีปัญหา Touch Disease แล้ว ในกรณีที่จู่ ๆ หน้าจอเกิดค้าง หรือดับไป ไม่ตอบสนองต่อการสัมผัสใด ๆ วิธีการแก้ไขเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือ การทำ Hard Reset นั่นเอง ด้วยการกดปุ่ม Power + Home ค้างไว้พร้อมกับราว ๆ 10 วินาที จนกว่าจะขึ้นโลโก้ Apple ซึ่งวิธีนี้ สามารถใช้งานได้กับ หน้าจอดับหรือค้างทุกกรณีครับ ไม่จำเป็นต้องเป็น Touch Disease ก็ได้

ถ้าหากทำ Hard Reset แล้วหน้าจอยังดับอยู่ ควรทำอย่างไร ?
ให้ลองตรวจสอบก่อนว่า มีแบตเตอรี่เหลืออยู่ในเครื่องหรือไม่ ด้วยการเสียบสายชาร์จ ซึ่งจะปรากฎหน้าจอแสดงการชาร์จแบบนี้ในเวลาหลังจากนั้นไม่กี่นาที
แต่ถ้าหากเสียบชาร์จแล้ว หน้าจอยังไม่ติดภายใน 1 ชั่วโมง หรือเห็นหน้าจอปรากฏสัญลักษณ์ตามรูปข้างต้น ให้ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ทำการชาร์จ ทั้งสาย USB, ขั้วต่อ, อะแดปเตอร์ว่า อยู่ในลักษณะที่แน่นหนาและถูกต้อง หรือลองเปลี่ยนไปใช้สายหรืออะแดปเตอร์ตัวอื่นดู แต่ต้องเป็นอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานนะครับ

เปิดตัวเครื่องได้แล้ว แต่เกิดค้าง ควรทำอย่างไร ?
ในกรณีที่กด 2 ปุ่มมหัศจรรย์ Home + Power ค้างไว้จนโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นมาแล้ว แต่เกิดค้างขึ้นมา ให้เชื่อมต่อ iPhone กับคอมพิวเตอร์ แล้วเปิด iTunes จากนั้น ให้กดปุ่ม Home + Power ค้างไว้พร้อมกัน ถึงแม้จะเห็นโลโก้ Apple ปรากฏขึ้นมาแล้วก็อย่าเพิ่งปล่อยปุ่มที่กดอยู่นะครับ ให้กดค้างเอาไว้จนกว่าจะขึ้นโหมดการกู้คืน
จากนั้นจะเห็นหน้าต่างแบบนี้ปรากฏขึ้นมา ให้เลือก อัปเดต ซึ่ง iTunes จะทำการติดตั้ง iOS ใหม่โดยที่ไม่ลบข้อมูลที่มีอยู่ในตัวเครื่องออก
แต่ถ้าหากลองทำตามวิธีข้างต้นแล้ว ยังไม่สามารถแก้ไขได้ ให้ติดต่อกับศูนย์บริการที่ได้รับการรับรองจากแอปเปิล (Apple Authorized Service Provider) ใกล้บ้าน โดยสามารถเข้าไปตรวจสอบได้ที่ https://locate.apple.com/th/ ครับ
นำเสนอบทความ Tips & Tricks โดย : techmoblog.com

วันอังคารที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559

วีดีโอคอล โทรแบบเห็นหน้า ด้วย Google Duo App

Google Duo App




Google Duo (App วีดีโอคอล Google Duo เห็นหน้าคนโทรมา) : สำหรับแอพพลิเคชั่นนี้มีชื่อว่า แอพ Google Duo อยากลองอะไรใหม่ๆ กันบ้างไหม จัดแอพฯ นี้ไปเลย Google Duo แอพฯ วีดีโอคอลสายพันธุ์ล่าสุดจากสุดยอดนักพัฒนาอย่าง Google รับประกันได้ในเรื่องคุณภาพและความน่าเชื่อถือของแอพฯ ความดีงามของแอพฯ วีดีโอคอลตัวนี้คือมีหน้าตา และรูปแบบการใช้งานที่เรียบง่ายเข้าใจง่าย เริ่มต้นการใช้งานได้อย่างรวดเร็ว
และลูกเล่นที่เจ๋งมากๆ เลยของ App วีดีโอคอล Google Duo ตัวนี้คือ มีฟังก์ชั่นชื่อ "Live Preview" ที่เปิดโอกาสให้คุณได้เห็นภาพแบบสดๆ เรียลไทม์ (Real-Time) ของคนที่วีดีโอคอลเข้ามาหาคุณ ทำให้นอกจากจะรู้ว่าเป็นใครที่โทรมาแล้ว ก็ยังรู้ด้วยว่าคนโทรมาอยู่ในอิริยาบถไหน อยู่ในอารมณ์สนุกสนาน หรืออยู่ในอารมณ์หน้าบูดบึ้ง ไม่น่าจะคุยด้วย อะไรแบบนี้เป็นต้น
นอกจากนี้แล้ว แอพ Google Duo วีดีโอคอลตัวนี้ยังให้คุณได้สนุกสนานกับภาพวีดีโอคอลความละเอียดสูง เหมือนว่าเพื่อนๆ ของคุณมานั่งพูดคุยกันอยู่ต่อหน้าเลยทีเดียว และสามารถใช้งานได้กับทั้งการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wi-Fi หรือ 4G ทำให้สนุกกับการวีดีโอคอลได้ในทุกที่ทุกเวลา
และความดีงามเรื่องสุดท้ายของแอพ Google Duo ที่จะต้องพูดถึงคือ รองรับการใช้งานแบบ Cross-Platform ทั้งบนระบบ iOS และ แอนดรอยด์ ไม่ว่าเพื่อนของคุณจะใช้สมาร์ทโฟนรุ่นไหนก็ไม่เป็นปัญหา

Application Features (คุณสมบัติหรือความสามารถของแอพพลิเคชั่น วีดีโอคอล เห็นหน้าคนโทรมา Google Duo เพิ่มเติม)
  • ใช้งานง่าย
  • เห็นหน้าคนโทรเข้าแบบ Real-time ตัดสินใจได้ง่ายว่าจะรับสายหรือไม่
  • วีดีโอคอลได้ในแบบภาพคมชัด ความละเอียดสูง
  • ใช้งานได้ทั้งการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบ Wi-Fi หรือ 4G
  • รองรับการใช้งานทั้งบน iOS และแอนดรอยด์

Note : สำหรับแอพพลิเคชั่น Google Duo ตัวนี้ ทางผู้พัฒนาแอพฯ (Application Developer) เขาได้แจกให้ คุณได้สามารถนำไปใช้งานได้ฟรีๆ (FREE) โดย ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นเลย
นอกจากนี้แล้ว คุณยังสามารถที่จะ ติดต่อกับทาง ผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่น นี้ได้ผ่านทางช่องทางอีเมล์ (E-Mail) : apps-help@google.com (ภาษาอังกฤษ) ได้ทันทีเลย

This app is called "Google Duo". This is a one-to-one video calling app for everyone – designed to be simple, reliable and fun so you never miss a moment. Pick a loved one and jump right in, with a simple interface that brings video to the forefront. See the caller before you pick up with Duo’s live preview feature.




รูปตัวอย่าง Screenshot การใช้งานจริงของ App วีดีโอคอล เห็นหน้าคนโทรมา Google Duo

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มือถือราคาไม่เกิน 5,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้



แนะนำมือถือราคาไม่เกิน 5,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้

แนะนำมือถือราคาไม่เกิน 5,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้


แนะนำมือถือราคาไม่เกิน 5,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ รุ่นไหนดี แบรนด์ไหนเด่น เราคัดมาให้ท่านแล้ว!
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านครับ กลับมาพบกับทีมงาน Thaimobilecenter พร้อมข่าวสาร และนานาสาระน่ารู้ในวงการสมาร์ทโฟนกันอีกครั้งนะครับ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2016 ที่ผ่านมา สังเกตได้ว่าสมาร์ทโฟนที่เปิดตัวใหม่ส่วนใหญ่จะเจาะกลุ่มไปทางผู้ใช้ระดับกลางที่เน้นการใช้งานทั่วไปเพียงเท่านั้น
ซึ่งสมาร์ทโฟนเหล่านี้ก็จะเปิดตัว และเปิดราคาวางจำหน่ายในช่วงราคาที่ไม่สูงมากนัก โดยกลุ่มตลาดสมาร์ทโฟนระดับกลางนี้ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันของแบรนด์ผู้ผลิตแต่ละค่ายอย่างดุเดือดเลยทีเดียว เพราะสมาร์ทโฟนระดับกลางก็สามารถใช้งานทั่วไปได้อย่างครอบคลุมทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE, การใช้งานโซเชียลมีเดีย หรือฟังก์ชันกล้องถ่ายรูป ฯลฯ ดังนั้น สมาร์ทโฟนระดับกลางที่มีราคาไม่สูงมากจึงเป็นกลุ่มมือถือหลักที่ผู้ใช้ให้ความสนใจเป็นพิเศษ

วันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter จึงจะพาทุกท่านไปพบกับสมาร์ทโฟนรุ่นเด่นที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ในราคาไม่เกิน 5,000 บาท ซึ่งสาเหตุที่ทีมงานตั้งงบประมาณไว้เท่านี้ก็เพื่อเน้นกลุ่มผู้ใช้เบื้องต้น ที่ต้องการสมาร์ทโฟนดีๆ สักหนึ่งเครื่องมาใช้งานโดยทั่วไปเท่านั้น ซึ่งสมาร์ทโฟนระดับกลางในราคาไม่เกิน 5,000 บาท ส่วนใหญ่ก็ตอบโจทย์การใช้งานได้เกือบทุกด้านแล้ว ทางทีมงานจึงได้ทำการคัดเลือกสมาร์ทโฟนสุดคุ้มในราคาไม่เกิน 5,000 บาท มาให้ทุกท่านได้รับชมกัน จะมีสมาร์ทโฟนรุ่นไหน แบรนด์ใดที่โดนใจท่านผู้อ่านบ้างนั้น ติดตามชมไปพร้อมกันได้เลยครับ
DENGO One Plus ราคาวางจำหน่าย 2,990 บาท

สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นนี้เรียกได้ว่าใครที่ชื่นชอบการใช้งานมือถือจอใหญ่เต็มตาคงไม่ผิดหวัง เพราะ DENGO One Plus มาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลขนาดใหญ่ถึง 6 นิ้ว พร้อมกระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass 4 และยังพกพาแบตเตอรี่ไซส์ยักษ์ความจุ 4000 mAh มาให้อีกด้วย นับว่า DENGO One Plus เป็นมือถือที่เหมาะกับการใช้งานด้านความบันเทิง เช่น การเล่นเกม หรือการรับชมภาพยนตร์ มากทีเดียว และไม่ต้องกังวลเรื่องแบตเตอรี่จะหมดระหว่างวันอีกด้วย โดยคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ DENGO One Plus มีดังนี้

- จอแสดงผลแบบ IPS LCD HD ขนาด 6.0 นิ้ว ความละเอียด 1280x720 พิกเซล พร้อมกระจกป้องกันหน้าจอ Corning Gorilla Glass 4
- ชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core MediaTek MT6580 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 1.3GHz
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 1GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 8GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 128GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 5.1 Lollipop

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ DENGO One Plus
ASTON Luxury 4G ราคาวางจำหน่าย 3,990 บาท

สำหรับแบรนด์สมาร์ทโฟน ASTON ผู้ใช้บางท่านอาจจะยังไม่ทราบกันว่าสมาร์ทโฟนแบรนด์เป็นของคนไทยเราเอง ซึ่ง ASTON Luxury 4G ก็เป็นสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดที่วางจำหน่ายในราคาเพียง 3,990 บาท เท่านั้น โดยมาพร้อมกับจุดเด่นอย่าง ตัวเครื่องโลหะ, หน้าจอขนาดใหญ่ถึง 5.5 นิ้ว  หรือเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner) โดยคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ ASTON Luxury 4G มีดังนี้

- จอแสดงผลแบบ IPS LCD HD ขนาด 5.5 นิ้ว ความละเอียด 1280x720 พิกเซล พร้อมกระจกป้องกันหน้าจอ Gorilla Glass แบบขอบนูน 2.5D
- ชิปเซ็ตประมวลผล 64-bit Quad-Core MediaTek MT 6735P ซึง่มีความเร็วในการประมวลผล 1.0GHz
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 1GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 16GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 128GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล พร้อมไฟแฟลชแบบ LED สำหรับกล้องหน้า
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 5.1 Lollipop

สรุปคุณสมบัติตัวเครื่องโดยละเอียดของ ASTON Luxury 4G
รีวิว ASTON Luxury 4G
Flash Plus 2 ราคาวางจำหน่าย 4,990 บาท

เรียกได้ว่า Flash Plus 2 จัดคุณสมบัติตัวเครื่องมาให้แบบเกินราคาจริงๆ เพราะจุดเด่นของสมาร์ทโฟนรุ่นนี้มีหลายส่วน เช่น หน้าจอความละเอียดสูงระดับ Full HD 1080p, เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ หรือระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow ซึ่งทั้งหมดสามารถพบเจอได้ใน Flash Plus 2 ที่มีราคาวางจำหน่ายเพียง 4,990 บาท เท่านั้น โดยคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ Flash Plus 2 มีดังนี้

- จอแสดงผลแบบ Full HD 1080p ขนาด 5.5 นิ้ว พร้อมกระจกหน้าจอป้องกันรอยขีดข่วน
- ชิปเซ็ตประมวลผล MediaTek Helio P10
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 2GB และ 3GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 16GB และ 32GB พร้อมรองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 128GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล พร้อมเซ็นเซอร์รับภาพแบบ OV13853, โครงสร้างแบบ 5 ชิ้นเลนส์ และขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.0
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล พร้อมขนาดรูรับแสงกว้างสูงสุดที่ f/2.2
- รองรับการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- แบตเตอรี่ความจุ 3000 mAh รองรับ Fast Charging
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshmallow

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Flash Plus 2
รีวิว Flash Plus 2
ZTE Blade V7 Lite ราคาวางจำหน่าย 4,990 บาท
แบรนด์สมาร์ทโฟนจากแดนมังกรอย่าง ZTE ก็เริ่มบุกตลาดในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการส่งสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่นเข้ามาทำตลาด ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ได้เป็นอย่างดีด้วยคุณสมบัติตัวเครื่องที่คุ้มค่ากับราคาวางจำหน่าย ล่าสุด ZTE ก็เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ในชื่อ ZTE Blade V7 Lite ที่มาพร้อมกับฟีเจอร์เซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ และ Android 6.0 Marshmallow ในราคาวางจำหน่ายเพียง 4,990 บาท ซึ่งคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ ZTE Blade V7 Lite มีดังนี้

- หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD HD 720p ขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 1280x720 พิกเซล
- ชิปเซ็ตประมวลผล Quad-Core MediaTek MT6735P ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 1.0 GHz
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 2GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 16GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 32GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- รองรับการใช้งานเซ็นเซอร์สแกนลายนิ้วมือ (Fingerprint Scanner)
- แบตเตอรี่ความจุ 2500 mAh
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 6.0 Marshsmallow

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ ZTE Blade V7 Lite
รีวิว ZTE Blade V7 Lite
Infinix NOTE 2 LTE X600 ราคาวางจำหน่าย 4,888 บาท
สำหรับ Infinix NOTE 2 LTE X600 เป็นสมาร์ทโฟนที่มีจุดเด่นในส่วนของหน้าจอที่ใหญ่ถึง 5.98 นิ้ว และแบตเตอรี่สุดอึดด้วยไซส์ใหญ่ถึง 4000 mAh จึงส่งผลให้ Infinix NOTE 2 LTE X600 เป็นหนึ่งในสมาร์ทโฟนที่พร้อมมอบความบันเทิงให้กับผู้ใช้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้การใช้งานในด้านต่างๆ ก็ทำได้ดีไม่แพ้สมาร์ทโฟนรุ่นดังๆ เลยทีเดียว และคุณสมบัติตัวเครื่องเบื้องต้นของ Infinix Note 2 LTE X600 มีดังนี้

- หน้าจอแสดงผลแบบ IPS LCD HD 720p ขนาด 5.98 นิ้ว ความละเอียด 1280x720 พิกเซล
- ชิปเซ็ตประมวลผล Octa-Core 64-bit MediaTek MT6753 ซึ่งมีความเร็วในการประมวลผล 1.3 GHz
- หน่วยความจำแรม (RAM) ขนาด 2GB
- หน่วยความจำภายในขนาด 16GB รองรับหน่วยความจำเสริมแบบ microSD สูงสุด 32GB
- กล้องด้านหลังความละเอียด 13 ล้านพิกเซล
- กล้องด้านหน้าความละเอียด 2 ล้านพิกเซล
- รองรับการใช้งานอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงบนเครือข่าย 4G LTE
- รองรับการใช้งาน 2 ซิมการ์ด (Dual-SIM)
- แบตเตอรี่ความจุ 4000 mAh พร้อมรองรับระบบ Fast-Charging
- ทำงานอยู่บนระบบปฏิบัติการ Android 5.1 Lollipop

สรุปคุณสมบัติโดยละเอียดของ Infinix Note 2 LTE X600
รีวิว Inifinix Note 2 LTE X600
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับ สมาร์ทโฟนสุดคุ้มในราคาไม่เกิน 5,000 บาท ที่คุ้มค่าน่าซื้อมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ จะเห็นได้ว่าสมาร์ทโฟนแต่ละรุ่นจะมีคุณสมบัติตัวเครื่องที่ใกล้เคียงกัน แต่จุดเด่นหลักๆ ก็จะแตกต่างออกไปตามการใช้งาน
โดยสมาร์ทโฟนในระดับราคาไม่เกิน 5,000 บาท ทุกรุ่นข้างต้นนี้สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในทุกๆ ด้านอย่างแน่นอน ซึ่งท่านใดที่กำลังมองหาสมาร์ทโฟนราคากลางๆ ที่มีคุณสมบัติตัวเครื่องครอบคลุมทุกการใช้งานก็สามารถเก็บไว้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจได้นะครับ สำหรับวันนี้ทีมงาน Thaimobilecenter ขอลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่ในบทความหน้า สวัสดีครับ

ขอบคุณบทความโดย : thaimobilecenter.com